วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

วีดีโอเพลงที่ชื่นชอบ

ประเทศสเปน

การท่องเที่ยวประเทศสเปน
ข้อมูลการท่องเที่ยวประเทศสเปน ข้อมูลทั่วไป: สเปน (Spain) มีชื่อทางการคือ ราชอาณาจักรสเปน (Kingdom of Spain) และมีเมืองหลวงคือ กรุงมาดริด (Madrid) ค่ะ

ที่ตั้ง: ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปยุโรปบนคาบสมุทรไอบีเรีย มีอาณาเขตดังนี้ค่ะ ทิศเหนือติดกับทะเลกันตาบริโก ราชรัฐอันดอร์รา และประเทศฝรั่งเศส ทิศตะวันออกติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทิศใต้ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ช่องแคบยิบรอลต้า และมหาสมุทรแอตแลนติก ส่วนทิศตะวันตกติดกับประเทศโปรตุเกส และมหาสมุทรแอตแลนติกค่ะ

การขอวีซ่า:
เอกสารที่จะต้องเตรียมในการขอวีซ่าท่องเที่ยวค่ะ:
1. รูปถ่ายพื้นหลังสว่าง ขนาด 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ
2. แบบฟอร์มขอวีซ่าที่กรอกครบถ้วนแล้ว 2 ชุด
3. หนังสือเดินทางของท่านที่มีอายุการใช้งานไม่ต่ำกว่า 6 เดือน นับจากวันที่คาดว่าจะสิ้นสุดการเดินทาง พร้อมสำเนา 1 ชุด
4. จดหมายรับรองการทำงานจากบริษัท หรือนายจ้าง ซึ่งจะต้องมีการระบุรายละเอียดเกี่ยวกับงานที่ทำ และมีการอนุมัติการลาพักร้อนมาด้วยนะคะ
แต่ถ้าเป็นเจ้าของบริษัทเอง จะต้องแสดงหนังสือจดทะเบียนบริษัทมาด้วยค่ะ
5. จดหมายรับรองจากธนาคาร Bank Statement หรือ สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากที่อัพเดทเป็นปัจจุบัน เพื่อแสดงว่าผู้ขอวีซ่ามีสถานภาพทางการเงินที่เพียงพอค่ะ
6. Itinerary (กำหนดการเดินทาง) หรือ โปรแกรมทัวร์
7. หนังสือยืนยันการจองตั๋วโดยสารเครื่องบินไป-กลับ
8. เอกสารรับรองห้องพักจากทางโรงแรมในสเปน
9. ประกันการเดินทาง (สำเนากรมธรรม์จากบริษัทประกันภัย) ที่คุ้มครองวงเงินขั้นต่ำ 30,000 ยูโร ประมาณ 1,500,000 บาท

สถานทูตไทยในสเปน:
Royal Thai Embassy, Calle Joaquin Costa, 29, 28002 Madrid
โทร: (34-91) 563-2903, 563-7959, 411-5113
แฟกซ์: (34-91) 564-0033, 562-4182, 564-8756


ภาษาที่ใช้: ใช้ภาษาสเปน เป็นภาษาทางการ แต่ตามแคว้นต่างๆ ในสเปน ก็อาจใช้ภาษาตามท้องถิ่นนั้นนะคะ เช่น ภาษากาตาลัน ใช้พูดกันในแคว้นกาตาลุนยา ภาษากาเยโก ใช้พูดกันในแคว้นกาลิเซีย ภาษาบาเลนเซียโน ใช้พูดกันในแคว้นบาเลนเซีย และภาษาบาสโก ใช้พูดกันในแคว้นบาสก์ค่ะ

ความแตกต่างของเวลา: เวลาที่ประเทศสเปนจะช้ากว่าที่ประเทศไทย 5 ชั่วโมง ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมถึงปลายเดือนตุลาคม และจะช้ากว่าบ้านเรา 6 ชั่วโมง ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมจนถึงปลายเดือนมีนาคมค่ะ เพราะฉะนั้นควรจะปรับเวลาเมื่อเดินทางถึงประเทศสเปนด้วยนะคะ

สภาพอากาศ: สเปนมีลักษณะภูมิอากาศเป็นแบบเขตอบอุ่น แต่ด้วยสภาพภูมิประเทศเป็นพื้นที่สูงๆ ต่ำๆ ทำให้มีลักษณะภูมิอากาศของภูมิภาคต่างๆ ที่แตกต่างกัน เช่น ภาคเหนือ มีสภาพอากาศแบบริมฝั่งทะเล ในหน้าหนาวอากาศจะไม่หนาวจัด และหน้าร้อนจะเย็นสบาย แต่ก็เป็นภาคที่มีฝนตกชุกรวมทั้งมีความชื้นสูงด้วย สำหรับภาคกลาง และ ภาคใต้ จะมีอากาศแห้ง และฝนตกน้อย ในช่วงหน้าร้อนอากาศจะร้อนจัด แต่ในหน้าหนาวก็ไม่หนาวจัดเช่นกันค่ะ

ธงประจำชาติ ประเทศสเปนค่าเงิน และการธนาคาร: สเปนใช้เงินสกุล ยูโร (EURO) ซึ่งเท่ากับประมาณ 50 บาทไทยค่ะ ชนิดของธนบัตรแบ่งออกได้เป็น 5, 10, 20, 50, 100, 200 และ 500 ยูโร สำหรับชนิดของเหรียญจะมีตั้งแต่ 1, 2, 5, 10, 20, 50 เซนต์ 1 ยูโร จนถึง 2 ยูโรค่ะ

ระบบไฟฟ้า: ประเทศสเปนใช้กระแสไฟฟ้า 220 โวลต์

ระบบโทรศัพท์: รหัสโทรศัพท์ของประเทศสเปนคือ +34 และท่านสามารถเปิด Roaming ได้ค่ะ แต่จะต้องไปติดต่อกับทางเครือข่ายของท่านก่อนนะคะ

ข้อแนะนำพิเศษ: เมื่อถึงสนามบินกรุงมาดริดแล้ว ถ้าท่านไม่ได้เดินทางมากับขณะทัวร์ ท่านควรจะเรียก แท็กซี่ มิเตอร์ จะเป็นพาหนะที่สพะดวกที่สุด และ การรับประทานอาหารของชาวสเปนจะรับประทานอาหารกันสายมาก เพราะฉะนั้น เราจะต้องเตรียมปรับตัวกบการรับประทานอาหารเช้า

ข้าวผัดสเปน (Paella)อาหารท้องถิ่น: เนื่องจากสเปนมีพื้นที่ส่วนใหญ่ติดทะเล อาหารทะเลจึงเป็นที่นิยมกันมากของชาวสเปน อาหารทะเลที่ขึ้นชื่อก็มี อาร์โรซเนโกร (Arroz Negro) หรือข้าวผัดอาหารทะเล ปรุงด้วยหมึกดำจากปลาหมึก นอกจากนี้ยังมี ข้าวผัดสเปน (Paella) เป็นอาหารประจำชาติของประเทศเขาค่ะ สำหรับอาหารว่างที่มีชื่อเสียงของสเปน ได้แก่ Tapas มักจะสั่งมาแกล้มกับเบียร์หรือเครื่องดื่มกันค่ะ นักท่องเที่ยว ควรไปหาลิ้มลองอาหารเลื่องชื่อของเขาจากร้านอาหารทั่วไป หรือ ภัตตาคาร ภายในที่พักในสเปนของท่านกันนะคะ

แหล่งช้อปปิ้ง: สำหรับท่านที่เป็นนักช้อปตัวยง พลาดไม่ได้เลยนะคะกับการไปเลือกซื้อของที่ระลึกในย่านกลางเมือง ซึ่งมักเป็นงานฝีมือที่รู้จักกันดี และมีชื่อเสียงของนครโตเลโด้ นั่นก็คือ ดาบและมีดเหล็กกล้าแบบเคลือบดำฝังเงิน ทอง และลวดทองแดง นอกจากนี้ยังมีงานเซรามิคทุกประเภท พัดสเปน ตุ๊กตาพื้นเมือง กระเป๋าและรองเท้าหนัง ไส้กรอกสเปนชนิดต่าง ๆ ขนมถั่วตัดสเปน เนยแข็ง ฯลฯ ให้ท่านได้จับจ่ายกันอีกด้วยค่ะ



ที่มา  http://thai.monoplanet.com/guide-book/spain.html

วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

ประเพณีบุญบั้งไฟ


ประเพณีบุญบั้งไฟ หรือประเพณียิงจรวดไทยขอฝนนี้ ความจริงไม่ใช่ประเพณีเฉพาะของชาวเมืองยโสธร แต่เป็นฮีด(จารีต)สำคัญ ฮีดหนึ่งของชาวอีสานทั่วทั้งภูมิภาค หากแต่ชาวยโสธรโยเฉพาะชาวคุ้มบ้านต่าง ๆ ในเขตอำเภอเมืองนั้นให้ความสำคัญ และร่วมแรงร่วมใจกันจัดงานอย่างแข็งขัน จนทำให้ประเพณีบุญบั้งไฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน และในที่สุดด้วยความช่วยเหลือจากภาครัฐและเอกชนอีกหลาย ๆ ส่วน
บุญบั้งไฟยโสธร จึงเลื่อนฐานะขึ้นเป็นประเพณีสำคัญของประเทศ เป็นตัวแทนจากภาคอีสานที่เชิดหน้าชูตาในด้านวัฒนธรรมประเพณีของชาติ


รูปแบบประเพณี
ในวันนี้ ประเพณีบุญบั้งไฟ แบ่งงานออกเป็นงานใหญ่ ๆ สองงานด้วยกันคือวันแรก เริ่มตั้งแต่เวลาประมาณ 10.00 น. เป็นขบวนแห่บั้งไฟสวยงามไปตามถนนสายหลักใจกลางเมือง
ในวันนี้ชาวบ้านจากคุ้มต่าง ๆ จะนำบั้งไฟขึ้นขบวนรถที่ตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงามเป็นลวดลายไทยงามวิจิตร นำแห่แหนด้วยขบวนรำประกอบดนตรีพื้นเมือง บนขบวนรถบางทีจะเป็นธิดาบั้งไฟโก้ เทพบุตรเทพธดาตัวน้อย ๆ หรือแม้กระทั่งเรื่องราวจำลองจากนิยายพื้นบ้านปรัมปรา เช่นเรื่องท้าวผาแดง นางไอ่ เป็นต้น นอกจากนี้ที่จะขาดไม่ได้ก็คือขบวนรีวิวประเภทเนื้อหาสาระและตลกขบขันต่าง ๆ ที่เปิดโอกาสให้ชาวเมืองที่ต่างอายุกันได้มีโอกาสเข้าร่วมงานอย่างเสมอหน้าและ มาประกวดประชันกันอย่งสนุกสนาน
ส่วนวันที่สองเริ่มแต่เช้าที่สวนพญาแถนเป็นการประกวดการจุดบั้งไฟ มีการประกวดบั้งไฟขึ้นสูงแบะยั้งไฟแฟนซีต่าง ๆ ในขณะที่ชาวบ้านชาวคุ้มต่าง ๆ ก็จะยกขบวนออกร้องรำทำเพลงกันตลอดทั้งวันอย่างสนุกสนาน

จุดเด่นของพิธีกรรม
จุดเด่นของการชมประเพณีบุญบั้งไฟ อยู่ที่ช่วงเช้าของวันแรกคือวันแห่บั้งไฟสวยงาม สามารถชมได้ที่ปะรำพอธีถนนใจกลางเมือง และช่วงเช้าวันที่สอง คือการจุดบั้งไฟขึ้นสูงที่สวนสาธารณะพญาแถน

ตำนานเรื่องเล่า
ตำนานของประเพณีบุญบั้งไฟ ผูกพันกับนิทานพื้นบ้านสองเรื่องคือเรื่องท้าวผาแดงนางไอ่ และเรื่องสงครามระหว่างพญาคันคากกับพญาแถน ซึ่งเป็นเรื่องที่กล่าวถึงที่มาของการยิงบั้งไฟเลยทีเดียว
ตำนานเรื่องนี้เริ่มจากพระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นพญาคันคาก (คางคก) อาศัยอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ครั้งนั้น พญาแถน เทพผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ผู้ดลบันดาลให้ฝนตก เกิดไม่พอใจชาวโลกจึงบันดาลให้ฝนไม่ตก เกิดไม่พอใจชาวโลกจึงบันดาลให้ฝนไม่ตกเลยตลอด 7 ปี 7 เดือน 7 วัน ชาวเมืองทนไม่ไหวจึงคิดทำสงครามกับพญาแถน แต่สู้พญาแถนกับกองทัพเทวดาไม่ได้ ถูกไล่ล่าหนีมาถึงต้นไม้ใหญ่ที่พญาคันคากอาศัยอยู่
ในที่สุดพญาคันคากตกลงใจเป็นจอมทัพของชาวโลกต่อสู้กับพญาแถน
พญาคันคากให้พญาปลวกก่อจอมปลวกขึ้นไปจนถึงสวรรค์ ให้พญามอดไม้ไปทำลายด้ามอาวุธของทหารและอาวุธพญาแถน และให้พญาผึ้ง ต่อ แตนไปต่อยทหารและพญาแถนฝ่ายเทวดาพ่ายแพ้ พญาแถนจึงให้คำมั่นยีร หากมนุษย์ยิงบั้งไฟขึ้นไปเตือนเมื่อไรจะรีบบันดาลให้ฝนตกลงมาให้ทันทีและถ้ากบเขียดร้องก็ถือเป็นสัญญาณว่าฝนได้ตกลงถึงพื้นแล้ว
และเมื่อใดที่ชาวเมืองเล่นว่าวก็เป็นสัญญานแห่งการหมดสิ้นฤดูฝน พญาแถนก็บันดาลให้ฝนหยุดตก รายการท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
เป็นรายการท่องเที่ยวอย่างน้อย 3 วัน
วันแรก กรุงเทพฯ - ยโสธร แวะชมพระธาตุก่องข้าวน้อย เข้าที่พัก
วันที่สอง ช่วงเช้า ชมขบวนแห่บุญบั้งไฟ
ช่วงบ่าย ชมหมู่บ้านทอผ้าขิตสีฐาน
วันที่สาม ช่วงเช้า ชมการจุดบั้งไฟ
ช่วงบ่าย และเดินทางกลับ กทม.
ที่มา http://www.ku.ac.th/e-magazine/may46/know/bungfli.html

ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

                  ธงประจำชาติ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ข้อมูลทั่วไป: สมาพันธรัฐสวิส หรือ สวิตเซอร์แลนด์ มีเมืองหลวงชื่อว่า กรุงเบิร์น ตั้งอยู่กลางทวีปยุโรป ล้อมรอบด้วยเทือกเขาแอลป์ เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล โดยมีทิศเหนือ ติดกับประเทศเยอรมนี ทิศตะวันออก ติดกับประเทศออสเตรียและลิคเตนสไตน์ ทิศใต้ติดกับประเทศอิตาลี ส่วนทิศตะวันตกติดกับประเทศฝรั่งเศส
การขอวีซ่า และสถานทูตไทยในสวิตเซอร์แลนด์: เอกสารที่ท่านจะต้องเตรียมมีดังนี้ ใบรับรองหรือยืนยันการเป็นนักศึกษา หรือการเป็นพนักงาน ซึ่งจะต้องระบุเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น หรือกรณีเป็นเจ้าของกิจการจะต้องขอสำเนาใบทะเบียนการค้า ใบทะเบียนพาณิชย์ หรือ หนังสือรับรองบริษัทฯ ที่คัดสำเนาไว้ไม่เกิน 6 เดือน พร้อมแจ้งวัตถุประสงค์ด้วย และเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี ที่ไม่ได้เดินทางไปพร้อมบิดามารดา จะต้องมีการเซ็นยินยอมจากบิดาหรือมารดา หรืออาจจะมีสมุดบัญชีเงินฝากพร้อมการประทับตราจากธนาคาร (ควรจะเลือกบัญชีที่มีการอัพเดทเงินเดือนปัจจุบัน และมีเงินเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ) ซึ่งจะต้องมีเงินในสมุดเงินฝากจำนวนไม่ต่ำกว่า 6 หลัก เพื่อแสดงถึงการเงินที่เพียงพอ
สถานทูตไทยในสวิตเซอร์แลนด์ ณ กรุงเบิร์น: ที่อยู่ Kirchstrasse 56, 3097 Bern-iebefeld, Switzerland โทร: (41-31) 970 3030-4, 970 3038-9 แฟกซ์: (41-31) 970 3035 เวลาทำงาน 09.00 - 12.00 น. (จันทร์ - ศุกร์)
การเดินทาง: การเดินทางในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ส่วนใหญ่เป็นการเดินทางโดยรถไฟ เนื่องจากมีระบบรถไฟที่ครอบคลุมไปทั้งเมือง ไม่ว่าจะเป็นบนภูเขา ในชุมชน และวิ่งระหว่างเมือง ส่วนใหญ่มีความตรงต่อเวลาสูง เวลาขึ้นรถไฟนั้น ท่านไม่จำเป็นต้องโชว์ตั๋วรถไฟ หรือสอดตั๋วรถไฟเข้าเครื่องอ่านอัตโนมัติ สามารถเดินผ่านเข้าไปได้เลย โดยนานๆ จะมีนายตรวจขึ้นมาตรวจตั๋วบนรถไฟสักครั้งหนึ่ง ค่ารถไฟที่สวิตเซอร์แลนด์นั้นถือว่าแพงมาก นักท่องเที่ยวควรซื้อ Swiss Rail Pass เพื่อความประหยัดและสะดวกต่อการเดินทาง
ภาษาที่ใช้: ประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีภาษาราชการ 4 ภาษาด้วยกัน ได้แก่ ภาษาเยอรมัน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาอิตาเลียน และภาษาโรมานซ์ (ภาษาละตินโบราณ) แต่จะใช้ภาษาเยอรมันกับฝรั่งเศสเป็นหลัก ส่วนภาษาอังกฤษนั้น ชาวสวิสจะใช้พูดกันทั่วไปในตัวเมือง และตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย ท่านอาจเจอคนไทย ที่อยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ค่อนข้างมาก หรืออาจพบชาวสวิสที่สามารถพูดภาษาไทยได้บ้าง
ความแตกต่างเรื่องเวลา: เวลาที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จะช้ากว่าเวลาที่ประเทศไทย 5 ชั่วโมง ดังนั้น ท่านจะต้องปรับเวลาเมื่อเดินทางถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์ด้วย
สภาพอากาศ: ภูมิอากาศของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขึ้นอยู่กับระดับความสูงของพื้นที่ และมีลักษณะภูมิอากาศตั้งแต่ แบบแอลป์ ไปจนถึง แบบเมดิเตอร์เรเนียน สำหรับฤดูใบไม้ผลิ สภาพอากาศที่นั่นกำลังเย็นสบายเลยค่ะ ถ้าอยู่ในเมือง อากาศจะอยู่ที่ประมาณ 15-20 องศาเซลเซียส แต่ถ้าขึ้นไปบนภูเขาสูงมีหิมะปกคลุม อุณหภูมิจะติดลบ เมื่อถึงฤดูหนาว ในประเทศจะเต็มไปด้วยหิมะ และอาจมีฝนด้วยในบางครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่อุณหภูมิจะติดลบนะคะ ส่วนฤดูร้อน อากาศจะอบอุ่นและเย็นชื้น โดยอาจมีฝนตกบ้าง อุณหภูมิในช่วงฤดูนี้อาจสูงถึง 30 องศาเซลเซียสได้
ค่าเงิน และการธนาคาร: ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ใช้สกุลเงินฟรังก์สวิส (CHF) เทียบเป็นเงินไทยได้ประมาณ 35 บาท ซึ่งขึ้นอยู่กับอัตราค่าเงินขณะที่ท่านแลก ธนบัตรสวิสมีมูลค่า 10, 20, 50, 100, 500, 1,000 ฟรังก์ เงินเหรียญมีมูลค่าตั้งแต่ 5, 10, 20, 50 เซนต์ (Centimes) และ 1, 2, 5 ฟรังก์ การแลกเปลี่ยนเงินตราในประเทศนี้ สามารถแลกได้ตามธนาคารทุกแห่ง ท่าอากาศยาน สถานีรถไฟใหญ่ๆ รวมถึงโรงแรมในสวิตเซอร์แลนด์ทั่วไป แต่ท่านจะได้อัตราที่ดีที่สุดเมื่อแลกเปลี่ยนเงินที่ธนาคารค่ะ ส่วนการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตภายในประเทศนี้ ควรเป็นบัตรที่ได้รับการยอมรับ เช่น อเมริกันเอ็กซ์เพรส วีซ่า และมาสเตอร์การ์ด
ระบบไฟฟ้า: ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ใช้ระบบไฟฟ้าเหมือนกับบ้านเรา คือ 250 โวลต์ สามารถใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าได้ทุกชนิด แต่จะเป็นหัวปลั๊กแบบสามขา บางครั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าในเมืองไทยก็เป็นแบบสองขา เพราะฉะนั้น ท่านอย่าลืมนำหัวปลั๊กต่อเชื่อม หรือ Adapter ไปด้วย
ระบบโทรศัพท์: นักท่องเที่ยวสามารถใช้โทรศัพท์ที่ใดก็ได้ทั่วประเทศ และยังสามารถโทรไปที่ต่างๆ ทั่วโลกได้เช่นกัน โดยการหมุนหมายเลขรหัสประเทศนั้น ตามด้วยหมายเลขเมือง และเบอร์โทรของประเทศไทยคือ 0066 + จังหวัด + หมายเลขโทรศัพท์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีบริการโทรศัพท์ทางไกล ทั้งชนิดหยอดเหรียญและใช้การ์ดโฟน หรืออีกวิธีหนึ่ง คือ การเปิด Roaming แต่ก่อนเปิดใช้งานจะต้องไปแจ้งทางเครือข่ายโทรศัพท์มือถือของท่านก่อน
ข้อแนะนำพิเศษ: ยารักษาโรคประจำตัว ยาดม ยาแก้ปวดเมื่อย ยาแก้ปวดหัว ควรเตรียมไปเองนะคะ เพราะการซื้อยาที่สวิสเซอร์แลนด์ค่อนข้างยุ่งยาก การที่จะไปซื้อตามร้านขายยาแล้วได้รับเลยอย่างที่บ้านเราไม่สามารถทำได้ ที่นั่น ท่านจะต้องมีใบสั่งยาจากหมอก่อน แล้วค่อยเอาใบสั่งไปยื่นที่ร้านขายยา ซึ่งจะทำให้เราเสียเวลาในการท่องเที่ยวไปมากทีเดียว
สำหรับค่าทิป โดยปกติจะรวมอยู่แล้วใน ค่าที่พักในสวิตเซอร์แลนด์ ค่าอาหาร ค่าทำผม หรือ ค่ารถแท็กซี่ ส่วนค่ายกกระเป๋า ถือเป็นบริการพิเศษที่นอกเหนือออกไป ท่านควรทิปให้พนักงานด้วย อัตราทั่วไปคือ ทิป 2 ฟรังช์ต่อกระเป๋าหนึ่งใบ
อาหารท้องถิ่น: สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่รวบรวมเอาวัฒนธรรม ของประเทศเพื่อนบ้านไว้หลากหลาย ทำให้อาหารการกินของที่นี่ ได้รับอิทธิพลจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาก เช่น ประเทศฝรั่งเศส เยอรมนี และอิตาลี อาหารสวิตเซอร์แลนด์ที่ท่านจะพลาดไม่ได้ ก็คือ Cheese Fondue, Sausages and Roesti (มันฝรั่งซอยละเอียดทอด มีไส้กรอกเป็นเครื่องเคียง), เนยแข็งนานาชนิด และ ของหวาน เช่น ช็อกโกแลต, เพสตี้ และเค้ก เป็นต้น ท่านสามารถไปลิ้มลองขนมหวาน รสชาติกลมกล่อมได้ตามภัตตาคาร ร้านอาหารที่มีอยู่มากมายใน สวิตเซอร์แลนด์แห่งนี้อาหารท้องถิ่น
แหล่งช้อปปิ้ง: สถานที่ช้อปปิ้งในเมือง Interlaken โด่งดังมากด้านงานฝีมือทุกชนิด ตั้งแต่ผ้าปัก ไม้แกะสลักไปจนถึงของที่ระลึกจำนวนมาก แต่ถ้าอยากไปซื้อนาฬิกาเลื่องชื่อของที่นี่ท่านจะต้องไปที่เมือง Luzern ชื่อนี้เป็นที่คุ้นหูคนไทยมากที่สุด เพราะเป็นเมืองที่นาฬิกาโรเล็กซ์ขายดีที่สุด รองลงมาคือมีดพก (Swiss Army Knives)



ที่มา  http://www.choktaweetour.com/index_info.php?ID=3


ประเทศสิงคโปร์

เกี่ยวกับประเทศสิงคโปร์


ข้อมูลทั่วไป
ชื่อทางการ สาธารณรัฐสิงคโปร์

เมืองหลวง สิงคโปร์

พื้นที่ 697.1 ตารางกิโลเมตร ยอดเขาสูงที่สุดคือ Bukit Timah แม่น้ำสายหลักคือ Singapore และ Rochor สิงคโปร์มีถนน และรถไฟเชื่อมกับมาเลเซีย ณ Singapore/Johor Causeway ระยะทางประมาณ 6 กม.

ประชากร 4.2 ล้านคน (ชาวจีน 76% ชาวมาเลย์ 13.7% ชาวอินเดีย 8.4% และอื่นๆ 1.9% ) ซึ่งอยู่กันโดยไม่มีปัญหา ความขัดแย้งด้านเชื้อชาติ นอกจากนี้สิงคโปร์ยังเป็นประเทศในเอเชียที่มีการวางแผนครอบครัวได้ดีมาก จนทำให้จำนวนประชากรลดลง และก่อให้เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงานในอนาคต

ภาษา ภาษาทางราชการ คือ ภาษามาเลย์ จีนกลาง ทมิฬ และอังกฤษ สิงคโปร์ส่งเสริมให้ประชาชนพูด 2 ภาษา โดยเฉพาะจีนกลาง ในขณะที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้ในการติดต่องานและในชีวิตประจำวัน

ศาสนา 51% นับถือศาสนาพุทธ ลัทธิเต๋าและขงจื๊อ 15% นับถือศาสนาอิสลาม 4% นับถือศาสนาฮินดู 15% นับถือศาสนาคริสต์ และร้อยละที่เหลือคือลัทธิอื่นๆ

การปกครอง ระบบสาธารณรัฐ มีประธานาธิบดีเป็นประมุข และมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล รัฐสภามีวาระคราวละ 5 ปี นโยบายต่างประเทศสิงคโปร์เน้นด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยีและการลงทุนจากต่างประเทศ

อากาศ ร้อนชื้น มีฝนตกตลอดปี อุณหภูมิเฉลี่ย 26.8 องศาเซลเซียส

แผนที่ประเทศสิงคโปร์
แผนที่ประเทศสิงคโปร์



สภาพภูมิอากาศ
ลักษณะภูมิอากาศของสิงคโปร์ คล้ายกับประเทศไทย คือ เป็นแบบร้อนชื้น ฝนตกชุกตลอดปีเนื่องจากอิทธิพลทางทะเลและที่ตั้งของประเทศ

เศรษฐกิจ
สิงคโปร์จัดอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่เช่นเดียวกับ ฮ่องกง ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ผลิตภัณฑ์ส่งออกหลัก คือ ผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม เครื่องจักร ผลิตภัณฑ์นำเข้าส่วนใหญ่ ได้แก่ พลังงาน ( 40% ของการนำเข้าทั้งหมด) และอาหาร นอกจากนั้น การท่องเที่ยวก็นำรายได้เข้าประเทศมากเช่นกัน

สังคม
ชาวสิงคโปร์ถือว่ามาตรฐานการครองชีพของตนดีกว่าประเทศอื่น แต่ขณะเดียวกันความกลัวในจิตใจ คือ กลัวความล้มเหลวกับกลัวการเสียเปรียบ

-หน่วยราชการของสิงคโปร์มีประสิทธิภาพและรวดเร็วในการทำงาน โดยมีเวลาทำงาน จันทร์-ศุกร์ 08.30-13.00 และ 14.00-16.30 น. และเสาร์ 08.00-13.00 น.
-การบริการทางการแพทย์ในสิงคโปร์แพงกว่าประเทศไทยมาก และการซื้อยารักษาโรคประเภทยาปฏิชีวนะและยาอันตราย จะต้องมีใบสั่งแพทย์ แต่ยารักษาโรคพื้นฐานสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป





ประเทศสิงคโปร์


การศึกษาต่อในประเทศสิงคโปร์


ระบบการศึกษาในประเทศสิงคโปร์

การศึกษา
สิงคโปร์มีระบบการศึกษาที่เป็นเลิศประเทศหนึ่งของโลก ทุกโรงเรียนควบคุมโดยกระทรวงศึกษาธิการโดยตรง ระบบการศึกษาของสิงคโปร์แบ่งเป็นชั้นประถมศึกษาใช้ระยะเวลา 6 ปี และมัธยมศึกษาใช้ระยะเวลา 4 ปี จากนั้น ต่อด้วยการเรียนในระดับสูงขึ้น เช่น โปลีเทคนิค จูเนียร์คอลเลจ และมหาวิทยาลัย และการที่จะได้คัดเลือกเข้าเรียนที่โรงเรียนสิงคโปร์นั้น นักเรียนจำเป็นจะต้องทำการสอบเพื่อประเมินผลโดยการสอบเข้าโรงเรียนนั้น นักเรียนจำเป็นต้องสอบภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ เป็นวิชาหลัก และอาจมีการทดสอบภาษาจีน ขึ้นอยู่กับโรงเรียนที่นักเรียนต้องการสอบเข้า และสำหรับนักเรียนต่างชาติที่มีความประสงค์จะเข้าศึกษาต่อในประเทศสิงคโปร์จำเป็นต้องเสียค่าบำรุงการศึกษา (Donations) ให้กับกระทรงศึกษาธิการของสิงคโปร์ เป็นจำนวนเงิน S$1,000 ทุก ๆ 2 ปี สำหรับเงินบริจาคนี้ไม่สามารถขอคืนได้

ทำไมถึงเลือกเรียนที่ประเทศสิงคโปร์
ประเทศสิงคโปร์มีค่าใช้จ่ายถูกกว่าประเทศอื่น เช่น ออสเตรเลีย อเมริกา อังกฤษทั้งด้านการเรียน และ ค่าที่อยู่อาศัย ค่าตั๋วเครื่องบิน และยังสะดวกในการเดินทาง เนื่องจาก ประเทศสิงคโปร์อยู่ใกล้กับประเทศไทย โดยใช้ระยะเวลาการบินเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น และนอกจากนี้ การที่ได้ไปศึกษาที่ประเทศสิงคโปร์ นักเรียนยังได้เรียนรู้ถึง 2 ภาษา ซึ้งมีภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก และสามารถเลือก ภาษาจีน,ภาษามาเลย์และทมิฬภาษาใดภาษานึ่งเป็นภาษารอง

การศึกษา,ประเทศสิงคโปร์การศึกษาในระดับประถมศึกษา (Primary Schools)
ระบบการศึกษาในระดับประถมศึกษาที่สิงคโปร์นั้นจะแบ่งการสอนออกเป็น 2 ช่วง คือ เช้า และบ่าย การรับสมัครนักเรียนใหม่จะขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละโรงเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 4 (fouryear foundation stage) จะเน้นการเรียนในวิชาภาษาอังกฤษ, ภาษาจีน (แมนดาริน) หรือภาษาทมิฬ, คณิตศาสตร์ และวิชาอื่น ๆ เช่น ศิลปะ ดนตรี พลศึกษา ในการเรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 -6 (Two-year orientation stage) นักเรียนจะถูกแบ่งออกเป็น 3ระดับ จากผลการสอบของ ประถมศึกษาปีที่ 4 คือ EM1 EM2 EM3 โดยลักษณะการเรียนของวิชาภาษาอังกฤษ และภาษาแม่นั้นจะต่างกันนักเรียนจะต้องสอบวัดระดับเมื่อจบ ประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียกกันว่า Primary School Leaving Examination (PSLE).เพื่อวัดระดับว่านักเรียนจะต้องเรียนในชั้นมัธยมเป็นระยะเวลา 4 ปี หรือ 5 ปี

การศึกษาในระดับมัธยมศึกษา(Secondary School)
โรงเรียนมัธยมศึกษาในสิงคโปร์จะแบ่งออกเป็น 2 ระบบและจะมีหลักสูตรแตกต่างกันไปทั้งนี้ นักเรียนจะถูกเลือกให้อยู่ระบบใดระบบหนึ่งนั้นขึ้นอยู่กับผลการสอบ PSLE ของนักเรียนแต่ละคน ระบบที่ใช้ระยะเวลา 4 ปี จะเรียกว่า Special and Express Courses ซึ้งการเรียนการสอนนั้นจะเน้นการเตรียมตัวให้นักเรียนสอบ The Singapore-Cambridge General Certificate of Education “Ordinary” (GCE ‘O’) ตอนจบมัธยมศึกษาปีที่ 4 และ ระบบที่ใช้ระยะเวลา 5 ปี คือ Normal Course แบ่งการเรียนการสอนเป็น Academic และ Technical และเมื่อนักเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 4 นักเรียนจะต้องสอบ Singapore-Cambridge General Certificate of Education “Normal”(GCE ‘N’)

สำหรับนักเรียนที่สอบได้คะแนนดี สามารถเรียนต่อ มัธยมศึกษาปีที่ 5 เพื่อสอบ GCE ‘O’ ต่อไป แต่สำหรับนักเรียนที่สอบได้คะแนน GCE ‘N’ ไม่ดี ก็สามารถเรียนต่อในทางด้านเทคนิค ITE. หลังจากนักเรียน จบการศึกษาในระดับมัธยมนักเรียนสามารถที่จะเลือกเรียนในขั้นอุดมศึกษาต่อไป

เตรียมเข้ามหาวิทยาลัย (Junior College หรือ Pre University)สำหรับนักเรียนที่ได้ผ่านการทดสอบ GCE ‘O’ Level เรียบร้อยแล้วและมีความประสงค์ที่จะเลือกเรียนต่อที่ Junior College ใช้ระยะเวลา 2 ปี หรือ หลักสูตรเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย (Pre-university) ใช้ระยะเวลา 3 ปี เพื่อการเตรียมพร้อมสอบ GCE ‘A’ Level เมื่อสอบผ่านนักเรียนถึงจะสามารถเข้าเรียนต่อในระดับชั้นมหาวิทยาลัย หรือสามารถสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยต่างๆ ได้ทั่วโลก สำหรับนักเรียนที่สอบไม่ผ่าน GCE ‘A’ Level ก็สามารถที่จะเลือกเรียนต่อโปลีเทคนิค

โปลีเทคนิค (Polytechnics)
เป็นโรงเรียนเปิดสอนหลักสูตรวิชาชีพโดยมีสาขาให้เลือกมากมายอาทิเช่น วิศวกรรม, ธุรกิจ, สื่อสารมวลชน ฯลฯ สำหรับนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาแล้วสามารถจบออกมาทำงานได้เลย โดยหลักสูตรนี้จะใช้เวลาเรียน 3 ปี

การศึกษาสำหรับสาขาวิชาช่าง Institutes of Technical Education (ITE)
เป็นโรงเรียนเปิดสอนหลักสูตรสาขาวิชาช่าง โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการเพิ่มทักษะทางด้านการปฏิบัติและวิชาการ และสำหรับนักเรียนที่มีเกณฑ์คะแนนดี สามารถเลือกที่จะเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนโปลีเทคนิค หรือมหาวิทยาลัยแล้วแต่ความประสงค์




ประเทศสิงคโปร์


ค่าใช้จ่าย


ค่าครองชีพ
มาตรฐานคุณภาพชีวิตของสิงคโปร์อยู่ในระดับต้นๆของเอเชีย เทียบกับประเทศอื่นๆในตะวันตกแล้วค่าครองชีพที่สิงคโปร์นับว่าไม่สูงมากนัก ราคาสินค้าพื้นฐานอย่างอาหาร หรือเสื้อผ้าก็นับว่าสมเหตุสมผล

นักเรียนต่างชาติในสิงคโปร์มีค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ย 750 ถึง 2,000 เหรียญสิงคโปร์ ต่อเดือน ซึ่งอาจต่างกันไปตามไลฟ์สไตล์และหลักสูตรวิชาที่เลือกเรียนของแต่ละคน




ข้อมูลจำเพาะ

ประเทศสิงคโปร์
เวลา
เวลาของสิงคโปร์เร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง (GMT +8.00)

ไฟฟ้า
สำหรับกระแสไฟทางสิงคโปร์ใช้เหมือนบ้านเราคือ 220 โวลต์ แต่ความแตกต่างนั้นคือ สิงคโปร์ใช้เต้าเสียบแบบ 3 ขา (บ้านเราใช้ 2 ขา) ฉะนั้นอย่าลืมว่า ต้องนำปลั๊กต่อไปด้วย

สกุลเงินตรา
หน่วยเงินตราของสิงคโปร์คือ ดอลลาร์ (Singapore Dollar) โดยแบ่งค่าเงินต่าง ๆ ออกเป็นดังนี้ ธนบัตรมูลค่า S$2, S$5, S$10, S$20, S$50, S$100, S$500, S$1,000 และ S$10,000 เงินเหรียญมีตั้งแต่ 1, 5, 10, 20 และ 50 เซนต์ รวมถึง S$ 1

กฎหมาย
สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวขานในเรื่องความปลอดภัย ความสะอาด ประชากรมีมาตรฐานความเป็นอยู่ที่สูง เนื่องจากสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีกฎหมายลงโทษร้ายแรง คือ การประหารชีวิต หรือโทษจำคุกระยะยาว เช่น ที่สิงคโปร์นั้น ห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะอย่างเด็ดขาด หากฝ่าฝืนปรับถึง S$1,000 การทิ้งเศษขยะลงพื้น ฝ่าฝืนครั้งแรกถูกปรับ S$1,000 ครั้งต่อไป S$2,000 และต้องทำความสะอาดในที่สาธารณะด้วย กฎหมายนี้รวมถึงการห้ามถ่มน้ำลายในที่สาธารณะ และห้ามเคี้ยวหมากฝรั่งด้วยดังนั้น ไม่ควรนำหมากฝรั่งไปที่สิงคโปร์ การเสพหรือจำหน่ายยาเสพติดในประเทศสิงคโปร์นั้นมีความผิดขั้นร้ายแรงถึงประหารชีวิต

แหล่งท่องเที่ยว
สิงคโปร์มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายเช่น การ Shopping ทีเป็นความฝันของใครหลายๆ คน ที่มาเยือน สิงคโปร์ ย่าน ศูนย์กลาง การชอปปิ้งของ ประเทศสิงคโปร์ คือ ถนน ออชาร์ด “Orchard Road” มีแหล่ง Shopping ที่น่าตื่นตาตื่นใจ มีสินค้าให้คุณจับจ่ายสินค้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้สิงคโปร์เป็นสถานที่ที่น่าประทับใจ และจะไม่มีวันลืม และนอกจากนั้นยังมีสถานที่ต่างๆที่น่าสนใจ อาทิเช่น “Singapore Zoological Gardens” เป็นสวนสัตว์มาตรฐานระดับโลก ซิ้งถูกสร้างและปรับปรุง ให้กลมกลืนใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด “Night Safari” เป็นสวนสัตว์เปิดที่บริการทุกวัน

ตั้งแต่เวลา ทุ่มครึ่งไปจนถึงเที่ยงคืน คุณจะเพลิดเพลิน กับชีวิตสัตว์ป่าอย่างใกล้ชิดกับการนั่งรถราง ชมสัตว์ ที่ออกหากินยามค่ำคืน มากกว่า 100 ชนิด“Sentosa Island” เกาะเซนโตซ่า เป็นสถานท่องเที่ยวที่สร้างความสนุกสนานและความประทับใจ ให้กับทุกเพศทุกวัย โดยการเดินทางไปเกาะเซนโตซ่านั้นมีด้วยกัน 3 วิธี คือทางเรือเฟอร์รี่ รถยนต์ และกระเช้าลอยฟ้า “Singapore Botanic Garden” เป็นสวนพฤกษชาติที่มีพันธุ์พืชหลากหลายชนิดและ พืชที่หาดูได้ยาก โดยเฉพาะสวนเพาะกล้วยไม้ ที่มีกล้วยไม้ถึง 20,000 ต้นและเหตุนี้เองจึงเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยว




ประเทศสิงคโปร์


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่


สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์
(Royal Thai Embassy)
370 ถนนออร์ชาร์ด (Royal Thai Embassy,370 Orchard Road, Singapore 238870)
โทรศัพท์ (65) 6737-2644, 6737-2158
โทรสาร (65) 6732-0778, 6835-4991
เวลาทำการ จันทร์-ศุกร์
แผนกวีซ่า

เปิดทำการเพื่อรับยื่นเรื่องขอประทับตราวีซ่า เวลา 9.15-12.15 น.
เปิดทำการเพื่อขอรับเอกสารเดินทางพร้อมตราประทับวีซ่าคืน เวลา 14.00-16.30 น.
แผนกหนังสือเดินทาง
เปิดทำการเพื่อรับยื่นเรื่องเกี่ยวกับหนังสือเดินทางไทย เวลา 9.15-12.15 น.
เปิดทำการเพื่อขอรับหนังสือเดินทางคืน เวลา 14.00-16.30 น.




การขอวีซ่าสิงคโปร์(Singapore Visa)


เอกสารที่ใช้ประกอบการขอ VISA นักเรียนของประเทศสิงคโปร์ มีดังนี้

1. สำเนาบัตรประชาชน
2. สำเนาทะเบียนบ้าน
3. กรอกแบบฟอร์ม (Form16, V36, และ V39S) อย่างละ 2 ชุด
4. รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว จำนวน 6 ใบ
5. กรอกแบบฟอร์ม (V36A) ให้ครบถ้วน และ ลายเซ็นรับรองจากทางโรงเรียน หรือ มหาวิทยาลัย
6. สำเนาหน้าพาสปอร์ตที่ยังไม่หมดอายุ
7. สำเนาสูติบัตร แปลเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมประทับตรากระทรวงต่างประเทศ
8. Transcript จาก โรงเรียน หรือ มหาวิทยาลัย (ภาษาอังกฤษ)
9. ใบจบการศึกษาที่ออกโดยมหาวิทยาลัย หรือหนังสือรับรองการศึกษาจากโรงเรียน (ภาษาอังกฤษ)
10. หนังสือรับรองการทำงาน
11. สำเนาเอกสารหลักฐานทางการเงินที่ออกโดยทางธนาคาร/ สมุดบัญชีเงินฝากย้อนหลัง 6 เดือน
12. รายชื่อทั้งหมดของทุกคนในครอบครัว และ พี่น้อง พร้อมที่อยู่ และวันเดือนปีเกิด
13. กรณีที่ท่านมีญาติอาศัยอยู่ในประเทศสิงคโปร์ ต้องเตรียมเอกสารดังนี้
- สำเนาเอกสารหลักฐานการลำดับขั้นญาติ พี่น้อง เช่น ใบทะเบียนสมรส ใบหย่า และใบสมัครขอเป็นผู้ดูแล
- สำเนาเอกสารใบรับรองการศึกษาระดับสูงสุดของญาติ
- จดหมายรับรองการทำงานจากนายจ้างของญาติ โดยระบุ ถึงการเริ่มเข้าทำงาน, ตำแหน่งงาน และ เงินเดือน หรือ กรณีที่ญาติของท่านเป็นเจ้าของกิจการในประเทศสิงคโปร์ เอกสารหลักฐานที่ต้องแสดง คือ ใบจดทะเบียนการค้า โดยเอกสารเหล่านี้ต้องออกมาไม่น้อยกว่า 1 เดือน
- หลักฐานทางการเงิน Statement ย้อนหลัง 1 ปี
- สำเนาเอกสารแสดงรายได้ / การเสียภาษี ของญาติ ย้อนหลัง 3 ปี

กรณีที่ท่านมีคู่สมรสอาศัยอยู่ในประเทศสิงคโปร์ ต้องเตรียมเอกสารดังนี้
- สำเนาใบทะเบียนสมรส/ใบหย่า
- สำเนาเอกสารใบรับรองการศึกษาระดับสูงสุดคู่สมรส
- จดหมายรับรองการทำงานจากนายจ้างของญาติ โดยระบุ ถึงการเริ่มเข้าทำงาน, ตำแหน่งงาน และ เงินเดือน หรือ กรณีที่ญาติของท่านเป็นเจ้าของกิจการในประเทศสิงคโปร์ เอกสารหลักฐานที่ต้องแสดง คือ ใบจดทะเบียนการค้า โดยเอกสารเหล่านี้ต้องออกไม่น้อยกว่า 1 เดือน
- หลักฐานทางการเงิน Statement ย้อนหลัง 1 ปี
- สำเนาเอกสารแสดงรายได้ / การเสียภาษี ของคู่สมรส ย้อนหลัง 3 ปี
การขอวีซ่า
คนไทยที่ต้องการเดินทางเข้าสิงคโปร์ในฐานะนักท่องเที่ยวโดยไม่ต้องขอวีซ่าสามารถอยู่ได้ 14 วัน แต่สำหรับผู้ที่มีความประสงค์ที่จะอยู่มากกว่า 14 วัน หรือ เข้าศึกษาต่อที่ประเทศสิงคโปร์การดำเนินการเรื่องวีซ่าจะต้องเตรียมเอกสารดังนี้ (เอกสารทุกอย่างต้องเป็นตัวจริง พร้อมสำเนาที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ)

เอกสารสำคัญในการยื่นคำร้องขอวีซ่า
1. สูติบัตร ของนักเรียน
2. สำเนาทะเบียนบ้าน ของนักเรียน ผู้ปกครองทั้งบิดาและมารดา
3. ใบเปลี่ยนชื่อนามสกุลของนักเรียน (ถ้ามี)
4. ใบสำคัญทะเบียนสมรส หรือใบหย่า หรือใบรับรองบุตร ของบิดา มารดา (สำหรับนักเรียนที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี)
5. หลักฐานการศึกษา
6. รูปถ่ายขนาดพาสปอร์ตจำนวน 4 ใบ *** การขอวีซ่านักเรียนจะใช้เวลาประมาณ 6-8 สัปดาห์


ที่มา http://campus.sanook.com/education/oversea/read_03782.php